อหิเปรต : หัวเป็นมนุษย์...ตัวเป็นงู

อหิเปรต : หัวเป็นมนุษย์...ตัวเป็นงู

ปริยัติธรรม

หนังสือ พระพุทธวจนะ คาถาธรรมบท จาก...พระไตรปิฎก

น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ สชฺชุขีรํว มุจฺจติ
ฑหนฺติ พาลมนฺเวติ ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโก.

กรรมชั่วที่บุคคลกระทำแล้ว เมื่อยังไม่ให้ผลในขณะนั้น
ก็เป็นเหมือนน้ำนมที่เพิ่งรีด (ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป) ฉะนั้น
กรรมชั่วจะค่อยๆ ตามเผาคนพาล เป็นดังไฟถูกขี้เถ้ากลบไว้ ฉะนั้น

 

กากเปรตเคยเป็นกาขโมยอาหารถวายสงฆ์... อหิเปรตเคยเป็นชาวนาเผาที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธะ

 

พระมหาโมคคัลลานเถระและพระลักขณเถระเดินลงจากภูขาคิชฌกูฎ เพื่อเข้าไปบิณฑบาต ในกรุงราชคฤห์ พระมหาโมคคัลลานะเห็นเปรต ๒ ตน คือ อหิเปรต และกากเปรต

วันแรก ท่านถามกากเปรตผู้ถูกไฟไหม้อัตภาพอยู่ว่า ลิ้นของเจ้ายาว ๕ โยชน์ หัวใหญ่ ๙ โยชน์ กายสูง ๒๕ โยชน์ ทำไมถึงมีไฟไหม้อยู่ เจ้าทำบาปอะไรมาหรือ? กากเปรตเล่าว่า ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ ตนเองเกิดเป็นกา เห็นพวกมนุษย์นำอาหารใส่เต็มบาตรแล้วถือไปเพื่อถวายแก่สงฆ์ ก็ได้บินมาคาบข้าวไป ๓ คำ ตายแล้วเกิดในอวจีนรก เพราะกรรมนั้น พ้นจากนรกแล้ว มาเกิดเป็นกากเปรตเสวยทุกข์อยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏนี้

วันต่อมา พระมหาโมคคัลลานะเห็นอหิเปรตจึงยิ้มแย้มออกมา พระลักขณะเห็นแล้วถามว่า เหตุไรท่านจึงยิ้มแย้ม? พระเถระตอบว่า "ไม่ใช่กาลที่จะตอบปัญหานี้ ขอให้ท่านถามผมอีกครั้ง ตอนพวกเราเข้าเฝ้าพระศาสดาเถิด"

เมื่อทั้งสองท่านเข้าเฝ้าพระศาสดา พระโมคคัลลานะก็ได้แจ้งว่า ผมเห็นอหิเปรต ผมจึงยิ้มแย้ม เปรตนั้นมีศีรษะเป็นมนุษย์แต่ลำตัวเป็นงูสูงประมาณ ๒๕ โยชน์ มีเปลวไฟลุกตั้งแต่ศีรษะ ไปถึงหางงูที่เดียว พระพุทธเจ้าทรงสดับแล้วทรงเป็นพยานให้ว่า "โมคคัลลานะพูดความจริง แม้เราก็เคยเห็นเปรตนั้น ในวันที่เราบรรลุสัมโพธิญาณเหมือนกัน แต่เราไม่ได้พูดเพราะนึกเอ็นดูคนที่ไม่เชื่อ", จากนั้นตรัสเล่าเรื่องเปรต ๒๐ เรื่อง (รายละเอียดอยู่ในลักขณสังยุต, สํนิ.ข้อ ๒๙๘)

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อกุศลกรรมที่อหิเปรตทำไว้ คือ ในชาติหนึ่งได้เป็นมนุษย์มีอาชีพทำนา ประชาชนสร้างบรรณศาลาถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ริมฝั่งแม่น้ำเขตกรุงพาราณสี เวลามหาชนมานมัสการและบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้เดินผ่านพื้นนาของชาวนาคนนี้ เขาจึงไม่พอใจ ได้แอบจุดไฟเผาบรรณศาลาตอนท่านไปบิณฑบาตในกรุงและทุบทำลายภาชนะต่างๆ มหาชนมาเห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ถามกันว่า ใครหนอเผาที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้? ชาวนาก็ประกาศ ว่าตนเองเป็นผู้เผา, เขาจึงถูกมหาชนทุบตีตาย เกิดในนรก พ้นจากนรกแล้วผลบาปที่เหลืออยู่ทำ ให้เกิดเป็นอหิเปรต, จบแล้วตรัสสอนว่า "การทำบาปแล้วบาปกรรมนั้นยังไม่ให้ผล ก็เป็นเหมือน น้ำนมที่ถูกรีดใหม่ๆ ยังไม่แปรเปลี่ยนไป ต่อเมื่อกรรมให้ผล ผู้กระทำบาปย่อมประสบกับความ ทุกข์อย่างนี้ (=อย่างอหิเปรต)" แล้วตรัสภาษิตนี้

 

อธิบายพุทธภาษิต

 

น้ำนมที่รีดใหม่ยังอุ่นๆ อยู่ ยังอยู่ในสภาพเดิมจนกว่าจะมีการใส่เปรียง เป็นต้น ลงไปผสม บาปกรรมที่บุคคลกำลังทำ ผลกรรมยังไม่ให้ผลก็ฉันนั้นเหมือนกัน,

ถ้าผลบาปให้ผลในขณะกำลังทำก็คงไม่มีใครทำบาปกรรม, ขันธ์ทั้งหลายของมนุษย์เกิด ด้วยกุศลกรรม กุศลรักษาไว้ เมื่อขันธ์ทั้งหลายของมนุษย์แตกทำลายไป บาปกรรมให้บังเกิดขันธ์ ทั้งหลายขึ้นในอบาย เช่น ขันธ์ทั้งหลายในนรก เมื่อนั้นก็ชื่อว่าบาปกรรมตามเผาผลาญคนพาล, เหมือนถ่านเพลิงถูกขี้เถ้ากลบไว้ เหยียบที่แรกยังไม่ร้อน เพราะเถ้ากลบอยู่จนเวลาผ่านไปก็ร้อน และไหม้ผู้นั้น (ดู ธ.อ.๒/๑๙๒-๑๙๖)

 

คติธรรมความรู้ มหาชนมาทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้า นาข้าวเสียหาย ชาวนาจึงเผาที่อยู่ของท่านทิ้ง

อกุศลจิตที่มุ่งทำลายที่อยู่ เกิดดับซ้ำแล้วซ้ำเล่า กรรมชั่วส่วนหนึ่งทำให้เขาเกิดในนรก กรรมชั่วอีกส่วนหนึ่ง รอให้ผลเมื่อเขาเกิดเป็นเปรต


พิมพ์