ครอบครัวอภิชาตบุตร ผลแห่งบุญ : พ่อแม่เป็นเปรต ลูก ๆ เป็นเทวดา

ครอบครัวอภิชาตบุตร ผลแห่งบุญ : พ่อแม่เป็นเปรต ลูก ๆ เป็นเทวดา

ปริยัติธรรม

หนังสือนิทานบำเพ็ญบุญ 100 เรื่อง

บิดามารดาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ลูกชายคนโตมีเพื่อนเป็นอุบาสก.. แอบชวนน้องชายและน้องสาวทำกุศลในพุทธศาสนา

ในกรุงพาราณสี มีสามีภรรยาวรรณะพราหมณ์คู่หนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งสองมีบุตร ๓ คน คือ บุตรชายคนโต ๑ บุตรชายคนรอง ๑ และบุตรสาวเป็นคนเล็ก ๑

สมัยนั้น สามเณรสังกิจจะมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์แล้ว ก็ได้อุปสมบทเป็นภิกษุ ต่อมาท่านนำภิกษุ ๕๐๐ รูป (ซึ่งเป็นอันเตวาสิกของท่าน) มาพำนักอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พุทธบริษัททราบข่าวแล้วพากันมาฟังธรรม และถวายอาคันตุกทาน (ทานจัดถวายแก่ภิกษุผู้มาเยือน)

บุตรชายคนโตของครอบครัวนั้น มีเพื่อนนับถือพุทธ เป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยเขาถูกเพื่อนชักชวนไปฟังธรรมจากพระสังกิจจะ ฟังแล้วมีจิตใจอ่อนโยน เพื่อนจึงแนะให้เขาถวายนิตยภัตแก่ภิกษุรูปหนึ่ง (คือ แจ้งความประสงค์กับภิกษุตัวแทนของภิกษุสงฆ์ว่าจะนำอาหารมาถวายแก่ภิกษุวันละ ๑ รูปเป็นนิตย์) เขาปฏิเสธว่า "เราไม่ได้นับถือพุทธ ไม่เคยถวายภัตแด่พวกสมณศากยบุตรเลย เราจะไม่ถวาย" อุบาสกผู้เป็นเพื่อนจึงกล่าวว่า"เพื่อนจะไม่ให้ข้าวเรากินบ้างเลยหรือ?" เขาตอบว่า "ถ้าเป็นเพื่อน เรายินดีให้อาหารแก่เพื่อน" อุบาสกจึงกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้น อาหารที่เพื่อนจะให้แก่เรานั้น เพื่อนนำออกมาจากบ้านแล้ว จงถวายภิกษุรูปหนึ่งได้ไหม?" เขายินยอมตกลงจะถวายภัตแก่ภิกษุ ๑ รูป

เข้าวันรุ่งขึ้น เขาบอกมารดาบิดามิจฉาทิฏฐิว่า จะนำอาหารไปให้เพื่อน... เมื่อถึงพระวิหารตามที่นัดหมายกัน เขาก็ถวายอาหารนั้นให้ภิกษุรูปหนึ่งฉัน, เมื่อเขาคุ้นเคยกับภิกษุแล้ว ต่อมาเขาก็แอบชวนน้องชายและน้องสาวเข้าไปฟังธรรม และถวายทาน ลูกทั้งสามของครอบครัวนี้ จึงมีศรัทธาฟังธรรม ถวายทาน นับถือพระรัตนตรัย

(ญาติผู้พี่จะสู่ขอลูกสาวจากครอบครัวนี้ให้ลูกชายแต่ลูกชายฟังธรรมแล้วบวชเป็นสามเณร...สามเณรเห็นว่าที่เจ้าสาวแล้วก็คิดจะสึก...แต่ครอบครัวนั้นตายหมด

ในกรุงพาราณสีนั้น ครอบครัวหนึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของมารดาพวกเขา (ลุงของพี่น้อง๓ คนนี้) ต้องการจะส่งคนมาสู่ขอลูกสาวคนเดียวของครอบครัวนี้ (ลูกคนที่ ๓)แต่ยังไม่ทันได้สู่ขอ บุตรชายคนนั้นไปฟังธรรมที่พระสังกิจจะเทศนา เขาเกิดความสังเวชใจ ขอบรรพชาเป็นสามเณร

ต่อมา สามเณรนั้นกลับไปเยี่ยมโยมมารดาบ่อย ๆ มารดาจึงนำหญิงสาวที่กำลังจะสู่ขอให้ตอนก่อนบวช มาให้สามเณรดูตัว สามเณรเห็นแล้วเกิดความรัก ต้องการจะสึกตามความต้องการของมารดา

สามเณรกลับไปกราบเรียนพระสังกิจจะผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า จะขอลาสึก พระสังกิจจะพิจารณาดูอนาคตแล้วเห็นว่า สามเณรรูปนี้มีอุปนิสัยที่จะรู้ธรรมได้ และเห็นว่าคนในครอบครัวหญิงสาวนี้จะตายทั้งหมด จึงต่อรองกับสามเณรว่า "สามเณรเอ๋ย พระอาจารย์ขอให้สามเณรบวชอยู่อีกสัก ๑ เดือนนะ ครบแล้วค่อยลาสิกขาเถอะ" สามเณรเห็นว่าเวลา ๑ เดือนไม่นานเลย จึงรับปากพระอุปัชฌาย์ แล้วสามเณรก็ไปบอกมารดาว่า อีก ๑เดือนจะลาสิกขา

ทว่า ก่อนจะครบ ๑ เดือน เพียง ๘ วัน ก็เกิดพายุฝนใหญ่ ลมแรง ฝนตกหนักเรือนของครอบครัวหญิงสาวได้พังครืนลงมาทับคนทั้ง ๕ เสียชีวิตพราหมณ์และนางพราหมณีผู้เป็นภริยา ตายแล้วเกิดเป็นเปรตลูกชาย ๒ คน และลูกสาว ๑ เกิดเป็นภุมมเทวดา (เทวดาอยู่ภาคพื้นดิน)โดยอดีตบุตรชายคนโต เป็นกุมมเทวดามีช้างเป็นพาหนะ

อดีตบุตรชายคนรอง เป็นภุมมเทวดามีเทวรถเทียมด้วยม้าอัสดรเป็นพาหนะอดีตลูกสาว เป็นภุมมเทพธิดา มีวอกองคำเป็นพาหนะ

เปรตทั้งสองต่างถือค้อนเหล็กใหญ่ทุบตีกันเอง ร่างกายปูดบวม ขยายใหญ่แล้วแตกออก ต่างฝ่ายต่างโกรธ พูดจาหยาบคาย ปราศจากความกรุณา ขยุ้มฉีกปากแผลของอีกฝ่าย แล้วดื่มหนองและเลือดของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อิ่ม (ซึ่งสามเณรยังไม่รู้ข่าวการตาย)

พระอุปัชฌาย์ใช้ฤทธิ์ ให้สามเณรเห็นเทวดาและเปรตสนทนากันแล้ว สามเณรไม่สึก บรรลุพระอรหัต

ครั้นครบกำหนด ๑ เดือนแล้ว ในตอนพลบค่ำ สามเณรกล่าวทวงสัญญากับพระสังกิจจเถระว่า "พระอาจารย์ขอรับ ผมอยู่ครบ ๑ เดือน ตามที่รับปากไว้แล้วนะครับ กรุณาให้ผมสึกเถิดขอรับ" พระเถระชักชวนให้สามเณรเดินตามไปด้านหลังวิหาร แล้วใช้ฤทธิ์ทำให้สามเณรมองเห็นภุมมเทวดาและเปรตซึ่งเป็นอดีตครอบครัวคนรัก

ขณะนั้น เทพบุตร ๒ ตน และเทพธิดาผู้เป็นน้องสาว มีรัศมีสว่างไสว กำลังเดินผ่านทางนั้น เพื่อไปร่วมงานที่สมาคมยักษ์ ถัดจากนั้นก็มีเปรตที่เคยเป็นบิดามารดา ๒ ตน เดินตามมา มีการด่าทอ ใช้ค้อนทุบตีกัน เป็นเปรตมีรูปร่างดำ ผมยาวรุงรัง หนองและเลือดไหลไปตลอดทางที่เดินไป

สามเณรเห็นแล้วหวาดสะดุ้งกลัว พระอุปัชฌาย์ถามว่า "เธอเห็นพวกเขาไหม?" (ตอบว่า "เห็นขอรับ") เธออยากรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร ทำกรรมอะไรมา เธอลองถามดูสิ"

สามเณรถามเทพบุตรและเทพธิดาที่นั่งมาบนยานพาหนะ คือ ช้าง รถม้า และวอทองว่า "พวกท่านเป็นใครกัน? ท่านทำกรรมอะไรมา?" เทพบุตรและเทพธิดากล่าวว่า "ท่านถามพวกเปรตที่เดินมาข้างหลังเถิด" สามเณรจึงสอบถามว่า "คนหนึ่งขี่ช้างเผือกเดิน อยู่ข้างหน้า คนหนึ่งนั่งรถเทียมม้า สาวน้อยอยู่บนวอ มีรัศมีสว่างไปทุกทิศ ส่วนพวกท่านกลับถือค้อน ใบหน้านองด้วยน้ำตา เนื้อตัวมีแต่แผล ดื่มกินโลหิตของกันและกันท่านทำกรรมอะไรมา?"

เปรตถูกถามแล้ว ตอบว่า

"ผู้ที่ขี่ช้างเผือกเดินไปข้างหน้า เป็นบุตรคนโตของเรา สมัยเป็นมนุษย์เขาได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ เขาจึงได้รับความสุขความบันเทิงใจ

ผู้ที่นั่งรถเทียมม้าอัสดร เป็นบุตรคนกลางของเรา สมัยเป็นมนุษย์ เขาไม่ตระหนี่เป็นทานบดีคนหนึ่ง

นารีมีปัญญาดวงตากลมงาม นั่งวอไป เป็นลูกสาว เป็นบุตรีคนสุดท้องของเรา เธอมีความสุข ความเบิกบาน เพราะทานที่ให้บ่อย ๆ พวกเขาให้ทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย

ส่วนเราทั้งสอง เป็นคนตระหนี่ ด่าบริภาษสมณพราหมณ์ทั้งหลายลูกทั้งสามคนได้รับกามคุณอันเป็นทิพย์ ส่วนพวกเราซูบซีดดุจไม้อ้อถูกตัดทิ้ง"

เปรตประกาศความไม่ดีของพวกตนแล้วกล่าวว่า "พวกเราคือลุงและป้าของสามเณรพวกเราถูกเรือนพังทับตายพร้อมกัน นารีที่นั่งในวอทองคำนั้น เป็นผู้ที่มารดาบิดาของสามเณรจะสู่ขอให้เป็นภรรยาของสามเณร" สามเณรทราบแล้วสลดใจมาก คิดอยากจะช่วยเหลือ จึงถามว่า "พวกท่านกินอะไร นอนอย่างไร ยังอัตภาพให้เป็นไปได้อย่างไร?"

เปรตตอบว่า

"เราทั้งสองทุบตีกันเอง ให้กายมีเลือดมีหนอง แล้วดื่มกินเลือดและหนอง กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม ไม่หายหิว, สัตว์ที่ไม่ให้ทาน เกิดในยมโลก (โลกของพญายม หมายถึงเปตวิสัย) แล้ว ย่อมร้องไห้เหมือนเราทั้งสอง

สัตว์เหล่าใดมีโภคทรัพย์แล้วไม่ใช้สอยเอง ไม่ทำบุญ, สัตว์เหล่านั้นย่อมหิวกระหายในปรโลก ถูกความหิวแผดเผาอยู่สิ้นกาลนาน..."

สามเณรรู้ความทั้งหมดแล้วสลดใจ ความกระสันสงบ นั่งลงซบศีรษะลงแทบเท้าพระสังกิจจเถระแล้วกล่าว "ข้าแต่พระอาจารย์ การที่ท่านอนุเคราะห์ เอ็นดู รักษา ไม่ให้ตัวกระผมตกสู่ความพินาศ กระผมจะจดจำคำสั่งสอนของท่าน ตอนนี้กระผมไม่คิดจะออกไปครองเรือนแล้ว กระผมยินดีประพฤติพรหมจรรย์แล้ว"

ลำดับนั้น พระเถระได้แนะนำกรรมฐานที่เหมาะสมให้สามเณร แต่นั้นสามเณรก็หมั่นบำเพ็ญ

กรรมฐาน ไม่นานก็บรรลุพระอรหัต เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง

คติธรรมสำคัญของเรื่อง : เมื่อผลบาปปรากฏ คนผู้ทำบาปไว้ ล้วนอยากกลับไปแก้ไขกรรม


พิมพ์